Monday, March 7, 2011

สติสาธารณะ กับความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้


โดย ขวัญสรวง อติโพธิ สถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม  มติชนรายวัน  วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9749

คงไม่เกินเลยไปหากจะใช้คำว่าแผ่นดินในสามจังหวัดภาคใต้ของเรากำลังจะลุกเป็นไฟ ชีวิตผู้คนกำลังถูกผลักไสให้เข้าพบกับความทุกข์ยากเป็นสาหัส

ในฐานะเพื่อนมนุษย์ ในฐานะประชาชนพลเมืองร่วมชาติร่วมแผ่นดินเกิด เราไม่อาจดูดายให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปในหนทางเช่นนี้ได้

จากจุดยืนของพลเมืองที่ถือว่า "บ้านเมือง...เรื่องของเรา" เราจะร่วมกันทำอะไรกันได้บ้าง

การทวีตัวของความรุนแรง

สภาพการทวีความรุนแรงก่อความเสียหายร้าวฉานหนักหนาขึ้นทุกขณะในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้นั้น มองในเชิงระบบกล่าวได้ว่าเรากำลังเกิดภาวะการส่งผลกระทบกลับไปกลับมาของความรุนแรงที่ทวีตัวบานปลายเพิ่มขึ้นทุกที(Positive Feedback) ล่าสุดผ่านกรณี 87 ศพที่ตากใบ เรื่องความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ก็ถูกฉุดกระชากให้ยกระดับเข้าเชื่อมโยงกับปัญหาการก่อการร้ายระดับโลกเรียบร้อยแล้ว

เรื่องราวจะหนักหนาขึ้นอีกสักแค่ไหนไม่มีใครรู้

ในธรรมชาติ เมื่อเสือผอมที่ปราดเปรียวออกวิ่งล่าเหยื่อมาเป็นภักษาหารอยู่เป็นนิตย์ เสือก็จะอ้วนขึ้นทุกทีเหยื่อก็จะถูกกินลดจำนวนน้อยลงทุกวัน แต่ในขณะเดียวกันความอ้วนของเสือก็จะค่อยๆ ส่งผลให้เสือกลับเริ่มอุ้ยอ้ายวิ่งช้าลงทุกขณะ จึงเริ่มจะจับเหยื่อได้น้อยลง เหล่าเหยื่อก็จะมีโอกาสค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น ส่วนเสือก็จะค่อยๆ กลับผอมลงอีกครั้ง เสือมีอ้วนมีผอมขึ้นลง เหยื่อมีน้อยมีมากไปตามกันได้อย่างนี้

เห็นได้ว่าเมื่อเกิดภาวะการกระทบที่ก่อให้เกิดการทวีตัวขึ้น ในที่สุดธรรมชาติก็จะก่อภาวะย้อนรอยทำให้เกิดผลกระทบที่ทำให้เกิดการลดตัวลง(Negative Feedback) เกิดการเปลี่ยนกลับไปกลับมาที่เลี้ยงรักษาดุลยภาพได้เองอย่างน่าอัศจรรย์

โลกของธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ในโลกในสังคมมนุษย์เอง ภาวะทบตัวอย่างนี้ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ผัวเมียที่เริ่มทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ลืมภาษิตโบราณที่บอกว่า "รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ" ปล่อยให้โทสะเข้าครอบงำ ลำเลิกล่วงเกินกันและกันจนหนักขึ้นทุกทีจนเลยไปถึงขั้นบ้านแตกแยกคู่หรืออย่างในกรณีการล้มลงของธนาคารเพราะข่าวลือที่ว่า แบงก์กำลังจะเจ๊ง ได้เข้าทบตัวความแตกตื่นแย่งกันถอนเงินของเหล่าลูกค้า ยิ่งถอนก็ยิ่งตื่น ยิ่งตื่นก็ยิ่งถอน ทบทวีกันไม่กี่ทีแบงก์ก็เลยล้มเอาจริงๆ

ภาวะการทบตัวที่เกิดในโลกของมนุษย์อย่างนี้จะไม่มีการกลับเข้าสู่ดุลยภาพได้เอง เช่นในธรรมชาติมนุษย์เราจะต้องรู้จักที่จะเข้าใจเรื่องราว เกิดภาวะทบตัวบวกพาเข้าหาวิกฤตก็ต้องรู้จักก่อภาวะทบตัวลบเข้าหักล้างแก้ไข

กลับมาที่กรณีสามจังหวัดภาคใต้ บ้านเราจะรู้จักทำอะไร ให้เกิดอะไร ที่ก่อให้เกิด Negative Feedback ที่จะค่อยๆ ทุเลาเหตุการณ์ ค่อยๆ เกิดการร่วมกันแก้ไขผ่อนคลายปัญหา ค่อยๆ นำสันติภาพกลับมาสู่แผ่นดินสู่ชีวิตพี่น้องชาวไทยในภูมิภาคนี้ได้ หนทางแห่งความรุนแรงและการใช้กำลังมีแต่พาเรื่องให้หนักหนา ก่อ Positive Feedback มากขึ้นทุกที การใช้ความรุนแรงไม่มีทางที่จะทำหน้าที่ทุเลาปัญหาแก้วิกฤตชนิดนี้ให้เบาลงได้ ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่เต็มโลก

แต่รัฐบาลของเราเองกลับกำลังดิ่งเดินอยู่ในหนทางเส้นนี้ ใช่หรือเปล่า น่าวิตกหรือไม่

คือการเมืองภาคพลเมืองตัวสำคัญ

ในความหมายที่กว้างสุดสุด การเมืองก็คือการทำธุระส่วนรวมของบ้านเมืองให้ไปรอดไปดี แต่ในพื้นที่การทำการเมืองเพื่อส่วนรวมนี้ก็จะมีการทำการเมืองอยู่อีกสองภาคคือ การเมืองภาครัฐ(การเมืองระบบตัวแทนและเจ้าหน้าที่กลไกรัฐ) กับการเมืองภาคพลเมือง จึงเห็นได้ว่าในนามของส่วนรวมเราจะมีการทำการเมืองอยู่สองภาคที่ร่วมปริมณฑลกันอยู่

เมื่อไรที่ประชาชนคนส่วนตัวริเริ่มลงมือร่วมกันกระทำกิจธุระต่างๆ ของส่วนรวม จังหวะนั้นเองเขา กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่เป็นพลเมืองที่กำลังทำการเมืองเรื่องของส่วนรวม

ปัญหาความมั่นคงของชาติเช่นปัญหาความรุนแรงที่ภาคใต้เป็นเรื่องของส่วนรวมหรือเปล่า เป็นเรื่องของการเมืองหรือไม่ ถ้าเป็น จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่เพียงพอแล้วหรือที่จะปล่อยให้การเมืองภาครัฐรับผิดชอบเรื่องนี้ไปตามลำพัง จำเป็นหรือไม่ที่ประชาชนคนทั่วๆ ไปที่รักบ้านรักเมือง รักสันติภาพ จะลุกขึ้นก้าวพ้นจากความเป็นเอกชนคนส่วนตัวเข้าร่วมสร้างสรรค์ทำการเมืองภาคพลเมือง เพื่อเข้าพบปัญหาส่วนรวมตัวสำคัญนี้

หลักคิดก็คือ ประเทศชาตินั้นเป็นของเราทุกคน โดยพื้นฐานเราจึงมีสิทธิและหน้าที่ในการดูแลรับผิดชอบประเทศชาติ ในฐานะเจ้าของเราจะรู้จักตื่น รู้จักลุกขึ้นมาร่วมกันทำการเมืองภาคพลเมืองในกรณีสามจังหวัดภาคใต้ในครั้งนี้หรือไม่ อย่างไร หรือจะดูดายหลับไหล ปล่อยวางให้การเมืองระบบตัวแทน(ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นตัวแทนไม่ใช่เจ้าของ) ทำเรื่องของส่วนรวมเรื่องนี้ไปโดยลำพัง

ทำไปในหนทางที่เห็นว่ามีแต่จะทบทวีความรุนแรง ไม่เห็นทางที่จะดีขึ้นหรือเบาลงได้

ความเป็นจริงที่ห้อมล้อม

พูดกันตรงๆ คนไทยเรานั้นยังชิน ยังคุ้นที่จะเป็นราษฎรผู้ประจำการอยู่แต่ในภาคส่วนตัว ทอดธุระส่วนรวมต่างๆ ให้ภาครัฐรับไปทำให้อยู่นมนานกาเล การเมืองภาคพลเมืองที่ผู้คนถือตนว่าเป็นเจ้าของประเทศ ลุกขึ้นร่วมกันทำธุระของส่วนรวมต่างๆ ทั้งทำเองและมีส่วนร่วมกับภาครัฐ แทบจะเป็นเรื่องที่คนไทยเราไม่รู้จัก นึกไม่ค่อยออก เมื่อเข้าพบปัญหาความมั่นคงของชาติผ่านกรณีสามจังหวัดภาคใต้ในคราวนี้ หวังได้แค่ไหนว่าคนไทยเราจะออกมาเป็นธุระใส่อกใส่ใจ นี่เป็นความจริงประการหนึ่ง

ความจริงอีกประการหนึ่งก็คือ ในช่วงสามสี่เดือนที่จะถึงนี้ การเมืองภาคตัวแทนของเรากำลังจะยกทัพเข้าช่วงชิงอำนาจ กระทำการเลือกตั้งแย่งเก้าอี้ผู้แทนกันเป็นโกลาหลและเอาเป็นเอาตาย การเข้าแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศชาติในช่วงคาบลูกคาบดอกช่วงนี้ จึงซ้อนทับกับความมั่นคงของพรรค จะมีผลเป็นการได้เสียขึ้นลงของกระแสนิยมและคะแนนเสียงอย่างสำคัญ กรณีความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้กำลังเป็นปัญหาที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองฟากระบบตัวแทนยิ่งนัก

จึงน่าหนักใจหรือไม่ว่ากระบวนการเข้าพบปัญหาแก้ไขปัญหาวิกฤตใต้ของเหล่านักการเมืองตัวแทนทุกซีกฝ่ายในช่วงใกล้เลือกตั้งครั้งนี้ จะอยู่ในร่องในรอย คิดอย่างที่ควรคิด ทำอย่างที่ควรทำ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การอั้นราคาน้ำมันดีเซลเอาไว้จนกว่าจะพ้นการเลือกตั้ง โดยแลกกับความเสี่ยงของการแบกรับส่วนต่างที่ค่อยๆ เอาไว้ใช้คืนในอนาคตจำนวนมหึมา

ความเคยชินที่น่ากลัว

ในสังคมศิวิไลซ์ มีความเจริญเป็นประชาสังคม(Civil Society) นั้น การเข้าพบและเข้าแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเขาจะถือเอาการใช้สติปัญญาวิชาความรู้เป็นเครื่องมือสำคัญ ถือเอาการตกลงหาข้อยุติด้วยวาทะกรรมเป็นเครื่องตัดสิน(Discourse Society) สังคมเช่นนี้จึงห่างไกลจากอคติและความบุ่มบ่ามใช้กำลัง

มองกันในแง่มุมนี้ สังคมไทยของเราเป็นอย่างไร พูดกันตรงๆ อีกครั้งผู้เขียนเห็นว่า สังคมของเราห่างไกลจากความถี่ถ้วน ในการใช้สติปัญญาวิชาความรู้ในการเข้าพบ และตัดสินเรื่องของส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง

ทักษะและประสบการณ์ในด้านนี้ของเรามีน้อยกว่าน้อย ความเคยชินเช่นนี้เมื่อบวกกับการเป็นราษฎรที่รักจะไม่เอาธุระเรื่องของส่วนรวม หวังบริโภคบ้านดีเมืองดีจากการมอบให้ทำให้ของการเมืองภาครัฐตลอดมา คนไทยเราจึงพร้อมที่จะชอบง่ายไม่คิดมากติดบริการ มองความมั่นคงของตัวเองเป็นเรื่องเดียวกับความมั่นคงของรัฐบาล ถูกภาครัฐปลูกฝังและอบรมหรือกระทั่งปลุกปั่นให้ใช้อคติไปคิดแรงทำแรงในเรื่องของชาติ บ้านเมืองได้ตลอดมา



เรื่องเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและมีความละเอียดอ่อนต้องการความรู้ความเข้าใจปัญหาและทัศนคติที่มีความลึกและความละเอียดตามกันไป ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านร้านตลาดจะเข้าถึงเข้าใจปัญหาบ้านเมืองปัญหานี้ได้ดีแค่ไหน เข้าใจดีก็เพื่อที่จะได้เป็นทุนทางสติปัญญาเกิดวิจารณญาณ มีปฏิกิริยาและพฤติกรรมที่เหมาะสมกับกรณีนี้

เป็นที่น่าวิตกหรือไม่ว่า ขณะนี้เมื่อเหตุการณ์รุนแรงที่สามจังหวัดกำลังหนักหนาขึ้น ก็เริ่มปรากฏความคิดและการถกเถียงปลุกปั่นในสื่อต่างๆ ที่เต็มไปด้วยอคติและการยุยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระดานเว็บไซต์ต่างๆ

ถ้าท่านผู้อ่านอยากสัมผัสขอให้ไปเปิดดูเอาเองแล้วจะเริ่มรู้สึกว่าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้น แท้จริงคือเมื่อวานซืนนี้เอง

สติสาธารณะในกรณีสามจังหวัดภาคใต้

สถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ มีอดีต มีปัจจุบัน เป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันเองทั้งรวมตัวเป็นกรรมที่จะกระทบและผลักดันตัวของมันเองไปในอนาคตต่อไป บ้านเมืองไทยของเราจะเข้าพบปัญหานี้ยังไง ปัญหานี้จะกลับเข้าพบเข้าทำบ้านเมืองของเราอย่างไรในวันข้างหน้าไม่มีใครคาดเดาได้

อย่างไรก็ตาม ในฐานะพลเมืองที่ห่วงใยบ้านเมืองและพี่น้องในสามจังหวัดภาคใต้ เราดูดายเรื่องนี้ไม่ได้ เราจะร่วมกันคิดอ่านทำอะไรกันดี ผู้เขียนคิดว่าการหาทางร่วมกันสร้างสรรค์ "สติสาธารณะ" ของประชาชนคนไทยที่เกี่ยวที่ข้องกับเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นมาครองตัวครองใจผู้คนในวงกว้างเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก

สติสาธารณะนี้เองจะเป็นเสมือนทุนทางความคิดช่วยให้สังคมของเรา ร่วมกันเข้าพบประสบปัญหาแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ ได้อย่างมีวุฒิภาวะ ห่างไกลจากอคติและความหยาบคิดบุ่มบ่ามทำ นี่คือพื้นฐานสำคัญที่สุดของสังคมที่กำลังต้องร่วมกันพบกับวิกฤตที่สลับซับซ้อนเพราะบ่มฝังเพาะตัวมานานช้า และกำลังทบทวีตัวพลุ่งเป็นความรุนแรงและความเสียหายที่น่าสะพรึงกลัวของทุกๆ ฝ่าย

หากท่านผู้อ่านกรุณาย้อนไปพินิจดูภาพประกอบบทความบทนี้อีกครั้ง ท่านจะสังเกตเห็นได้ถึงเนื้อหาที่หวังจะสื่อสารออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้คนทั้งสองฝั่งไม้กระดกที่เป็นมนุษย์ปุถุชนที่ยังถูกปกคลุมด้วยโทสะและโมหะมีรัก โลภ โกรธ หลงเป็นเจ้าเรือน ความแตกแยกตัวแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย และความรุนแรงที่กระทำเข้าใส่กัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างทยอยตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีผีปีศาจคือ อคติที่พยายามเข้าสิงสู่จิตใจของทั้งสองฝ่าย ให้ห่างพ้นจากความรัก และความเข้าใจซึ่งกันและกันขึ้นทุกที ความหวาดระแวง ความโกรธและความเกลียดจึงค่อยๆ ทบตัวเข้ามาแทนที่ ไม้กระดกบนยอดเขาจึงโยกคลอนขึ้นทุกขณะและสุดท้ายจะไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะได้เลยนอกจากปีศาจอคติตัวนั้น

ทำอย่างไรเราจะก่อร่างสร้างกระแสสติแห่งสาธารณะขึ้นมาในบ้านเมืองอันจะทำให้ปีศาจตัวนี้มันเล็กลงอ่อนแรงลง เกิดกรรมคือกระทำชุดใหม่ๆ ที่โน้มนำให้หนทางแห่งสัมมาทิฐิสู่สันติภาพมีโอกาสเปิดตัวขึ้น แทนที่จะจมดิ่งลึกไปในวังวนของความรุนแรงที่มีมิจฉาทิฐิเข้าผลักใส มีความโกรธเกลียดเข้านำทาง

ผู้เขียนตั้งสติเขียนบทความนี้โดยมุ่งหวังจะไปให้พ้นจากการกล่าวผิดว่าร้ายใดๆ ทั้งสิ้น หากยังพลาดพลั้งก็ขออภัย

ขอสันติภาพจงมีแก่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราทุกคน

1 comment: