Monday, March 7, 2011

ยุทธวิธี "ดับไฟใต้" ฉบับ "ประเวศ วะสี" ป้องกัน "มิคสัญญี"


รายงาน   มติชนรายวัน  วันที่ 05 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

หมายเหตุ - ศาสตราจารย์ น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เสนอแนวคิดการป้องกันมิคสัญญี เนื่องมาจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

เหตุการณ์รุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่อเค้าว่าจะลามเลียไปเกิดมิคสัญญีทั้งสังคม ถ้าเราไม่เข้าใจและร่วมกันป้องกัน ความขัดแย้งและความรุนแรงจะลามปาม และดึงการก่อการร้ายสากลเข้ามาถึงใจกลางพระนคร ก่อความปั่นป่วนวุ่นวาย สูญเสีย เศรษฐกิจจะหยุดชะงัก โอกาสในการพัฒนาจะหมดไป บ้านเมืองจะเข้าไปติดกับในวิกฤตการณ์ยาวนานเป็นสิบปี

จริงอยู่การลอบฆ่าชาวพุทธและผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ชวนให้เกิดการบันดาลโทสะแห่งชาติ ถ้าเราควบคุมความโกรธไม่ได้จะไปเข้าทางของผู้บงการให้เกิดความรุนแรง เขาอยากให้เป็นเช่นนั้น เหมือนจิ้งหรีดที่ถูกปั่นหัวให้กัดกันจนตาย เราต้องไม่เป็นจิ้งหรีด แต่มีสติและใช้ปัญญา พาตัวให้พ้นกับดักอันรุนแรงที่สุดนี้ไปให้ได้

เราควรทำความเข้าใจอันตราย 2 เรื่อง คือ

1.สงครามจรยุทธ์

2.การก่อการร้ายสากล

ถ้าเกิดสงครามจรยุทธ์ การทุ่มกำลังกองทัพอันเกรียงไกรลงไปต่อสู้ไม่สามารถเอาชนะได้ ดูตัวอย่างสงครามเวียตนาม สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มสรรพกำลังมหาศาลเข้าไปต่อสู้ เวียดกงและเวียดนามเหนือไม่ได้เข้าปะทะตามสงครามในรูปแบบ แต่ใช้การทำสงครามจรยุทธ์ ทหารอเมริกันตายไปประมาณ 50,000 คน และต้องพ่ายแพ้ไป ขณะนี้สหรัฐก็เข้าไปติดกับสงครามจรยุทธ์ในอิรัก ทหารต้องล้มตายไปทุกวัน และมองไม่เห็นชัยชนะ ฝรั่งเศสเคยไปติดกับสงครามแอลจีเรียอยู่ถึงกว่า 10 ปี ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ไม่มีทางเอาชนะ และเกิดความขัดแย้งกันในฝรั่งเศสเอง จนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง

ขณะนี้สถานการณ์ในภาคใต้กำลังดำเนินเข้าสู่สถานการณ์สงครามจรยุทธ์แล้ว เราไม่มีทางชนะโดยทุ่มกองทัพใหญ่ลงไปปราบปราม สงครามอาจเรื้อรังเกิน 10 ปี ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตและเศรษฐกิจมหาศาล และเพิ่มจำนวนผู้ต่อต้านรัฐมากขึ้น เหมือนคอมมิวนิสต์ยิ่งฆ่ายิ่งเพิ่ม แบบที่เขาว่า "ตายสิบเกิดแสน" เราจึงต้องทำความเข้าใจเรื่องสงครามจรยุทธ์ให้ดี

การก่อการร้ายสากล ศูนย์กลางความขัดแย้งโลกขณะนี้คือ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับโลกอิสลาม ซึ่งประกอบด้วยชาวมุสลิม 1,500 ล้านคน ความขัดแย้งนี้เป็นต้นเหตุของสงครามยิว-อาหรับในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อมากว่าครึ่งศตวรรษ กรณีตึกเวิลด์เทรด หรือ 9/11 สงครามอัฟกานิสถาน สงครามอิรัก การก่อการร้ายที่นำโดยบิน ลาเดน และอื่นๆ อันทำให้โลกขาดสันติภาพอยู่ในขณะนี้

สหรัฐย่อมอยากให้ไทยขัดแย้งกับโลกมุสลิม เมื่อมีการจับฮัมบาลีได้ในประเทศไทย อเมริกาก็ประเคนเงินสินบนให้ก้อนใหญ่ และนำไปโพนทะนาทั่วโลก อเมริกา "ยกย่อง" ให้ไทยเป็นพันธมิตรนอกนาโต้ ชักชวนให้ไทยส่งทหารไปอิรัก เหล่านี้ล้วนเป็นการดึงไทยไปเข้าเป็นพวกอเมริกาอย่างโจ่งแจ้งอย่างน่ากลัวยิ่ง เมื่อเกิดเรื่องสังหารหมู่มุสลิมในสุเหร่ากรือแซะ เมื่อ 28 เมษายน 2547 และกรณีจับคนมุสลิมยัดใส่รถยีเอ็มซีจนตายเพราะขาดอากาศ 78 คน เมื่อ 25 ตุลาคม 2547 ข่าวเหล่านี้ไปสู่การรับรู้ของชาวมุสลิม 1,500 ล้านคนทั่วโลกแล้ว นี้เป็นบาดแผลร้าวลึกระหว่างไทยกับโลกมุสลิมอันจะนำไปสู่ผลอันน่ากลัวยิ่ง เป็นปุ๋ยอย่างดีแห่งการก่อการร้ายสากล ถ้าในอนาคตเกิดกรณีแบบวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด หรือระเบิดอัตวินิบาตขึ้นในกรุงเทพฯ เราจะเข้าสู่ยุคมิคสัญญี

คนไทยควรทำความเข้าใจสถานการณ์เหล่านี้ และร่วมมือกันป้องกันมิคสัญญีมิให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งขอเสนอแนวทางและมาตรการ 7 ประการ ดังต่อไปนี้



1.ใช้ยุทธศาสตร์สันติวิธี

แม้นมันน่าจะแค้นเพียงใด ต้องตั้งสติมั่นและมั่นคงในแนวทางสันติวิธี เราเคยมีบทเรียนในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ยิ่งฆ่ายิ่งเพิ่ม ประธานเหมา เจ๋อ ตง แนะนำ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นว่าอย่าฆ่าคอมมิวนิสต์ ถ้าฆ่าจะแพ้ เมื่อรัฐบาลสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นำยุทธศาสตร์สันติวิธีในนามของคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 มาใช้ ความขัดแย้งเรื่องคอมมิวนิสต์สงบลงโดยรวดเร็ว

คณะกรรมการยุทธศาสตร์สันติวิธีที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ได้ทำยุทธศาสตร์สันติวิธีไว้ รัฐบาลควรให้คณะกรรมการคณะนี้เข้ามาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สันติวิธี จนมีความเป็นเอกภาพในนโยบายสันติวิธี และเกิดทักษะในการแก้ความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ในระยะยาวคนไทยควรปักธงแห่งอหิงสธรรมบนดินแดนแห่งนี้ให้ได้



2.ป้องกันการลอบฆ่า

การฆ่ากันไปมาจะเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงขึ้นในแผ่นดินนี้ จะต้องยุติให้ได้ ควรให้ประชาชน องค์กรท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน เป็นผู้มีบทบาทให้มากที่สุด รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน

3.ให้มีคนคอยพูดคุยกับทุกฝ่าย

ในท่ามกลางความตึงเครียด ถ้ามีคนที่เป็นกลางคอยพูดคุยกับทุกฝ่ายไว้ จะลดหรือป้องกันความรุนแรงได้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์สันติวิธีดังกล่าวในข้อ 1 นั่นแหละควรเป็นผู้ไปพูดคุยทั้งกับทหาร ตำรวจ ชาวบ้าน รัฐบาล ฯลฯ ให้มีการรู้ถึงกัน จะคลายความรุนแรงลงไปได้

4.ปรึกษาหารือกันอย่างจริงจังในการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่น

ที่ไหนก็ตามถ้าอำนาจรวมศูนย์อยู่ในส่วนกลางจะเกิดความเครียดในระบบ และปะทุไปสู่ความรุนแรง ในประเทศประชาธิปไตยจึงให้ความสำคัญแก่การปกครองท้องถิ่นมาก สหรัฐนั้นเป็น United States มาตั้งแต่ต้น โดยแต่ละรัฐปกครองตัวเอง สหรัฐจึงเข้มแข็งโดยรวดเร็ว ประเทศมาเลเซียเล็กกว่าไทยยังมีกว่า 10 รัฐ เยอรมนีก็ประกอบด้วยรัฐต่างๆ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีของตัวเอง การเป็น "สหรัฐ" ไม่ได้แปลว่าไม่ได้เป็นประเทศเดียวกัน ตรงข้ามกลับทำให้ประเทศโดยรวมเข้มแข็งขึ้นและมีสันติภาพ กรุงเทพฯก็เลือกตั้งผู้ว่าฯของตนเองเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว

ควรปรึกษาหารือกันอย่างจริงจัง และรีบด่วนในการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่น ไม่ใช่เฉพาะสำหรับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่กลุ่มจังหวัดอื่นๆ ที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกันด้วย เช่น ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง อีสานเหนือ อีสานใต้ เป็นต้น ภาคเหล่านี้ประชาชนอาจเลือกผู้ว่าราชการภาคของตนเอง มีการเงินการคลังที่ทำให้บริหารจัดการเรื่องของตนเองให้ได้มากที่สุด นักวิชาการ เช่น กลุ่มของ ดร.จรัส สุวรรณมาลา ได้วิจัยเรื่องการเงินการคลังท้องถิ่นมานาน ควรเชิญมาร่วมปรึกษาหารือ ยิ่งเร็วยิ่งส่งความรู้สึกที่ดีไปสู่ท้องถิ่น การกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นจะทำให้ลดความต้องการที่จะแยกประเทศ

5.วางความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับโลกอิสลาม และกับอเมริกา

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะความขัดแย้งระหว่างอเมริกากับโลกอิสลามนั้นแหลมคม รุนแรง และอันตรายยิ่ง อเมริกานั้นมีอิทธิพลซึมซับในเนื้อในตัวของประเทศไทย สามารถกำหนดการรับรู้ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของไทยอย่างอัตโนมัติ จึงยากที่ไทยจะไม่ถูกผลักถูกดึงให้อยู่ข้างอเมริกา ซึ่งก็จะทำอันตรายอันใหญ่หลวงมาสู่ประเทศเราดังกล่าวแล้ว

ฉะนั้นไทยจะต้องพยายามอย่างจริงจังที่จะวางความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับโลกอิสลามและกับอเมริกาว่าเราเป็นมิตรกับอิสลาม และเป็นมิตรกับอเมริกา ต้องใช้สิ่งที่เรามีเข้ามาช่วยกันอย่างเต็มที่ เช่น บทบาทของพระราชวงศ์ ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม ความร่วมมือทางศาสนา การทูตชั้นเยี่ยม ประเทศไทยควรจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระหว่างนักวิชาการอเมริกันและนักวิชาการมุสลิมที่รักสันติภาพ โดยจัดประชุมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จนเกิดภาพพจน์แห่งความเป็นกลางและสันติ

6.ปรับทิศทางการพัฒนา

ทิศทางการพัฒนาแบบเงินนิยมจะเป็นตัวเร่งความเสื่อมเสียศีลธรรม ความขัดแย้ง และความรุนแรง ประเทศไทยควรจะปรับทิศทางการพัฒนาไปสู่แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางธรรมนิยมที่คำนึงถึงเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ พร้อมกันอย่างบูรณาการ อันเป็นไปเพื่อไมตรีจิตและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

7.การปรับเปลี่ยนขั้นพื้นฐาน (Transformation) ของนายกรัฐมนตรี

ผู้นำเป็นตัวกำหนดที่สำคัญของสงครามหรือสันติภาพ ท่าทีแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน หรือ "บ้ามาก็บ้าไป" หรือการส่งสัญญาณความรุนแรงเปรียบประดุจการสาดน้ำมันเข้ากองเพลิง และดึงประเทศเข้าไปสู่ความรุนแรง หากนายกรัฐมนตรีสามารถปรับเปลี่ยนขั้นพื้นฐานทั้งกาย วาจา ใจ กล่าวคือคิดอย่างสันติ พูดอย่างสันติ และทำอย่างสันติ จะเกิดอานิสงส์ต่อประเทศเป็นอเนกปริยาย รวมทั้งลดความรุนแรงและป้องกันมิคสัญญีด้วย

ที่พูดนี้พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะใครคนใดคนหนึ่งมีโปรแกรมอยู่ในสมองอันเปลี่ยนแปลงได้ยาก ทางพระเรียกว่าเป็นเพราะเขามี "วาสนา" เป็นอย่างนั้น อาจจะพอทำได้บ้างหากตั้งใจจริง และเจริญสติ สังคมควรให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีให้สามารถปรับเปลี่ยนขั้นพื้นฐานได้

ทุกๆ คนก็ควรมีการปรับเปลี่ยนขั้นพื้นฐาน (Personal Transformation) และสังคมก็มีการปรับเปลี่ยนขั้นพื้นฐาน (Social Transformation) ด้วยเช่นกัน

การปรับเปลี่ยนขั้นพื้นฐานเป็นผลสุดยอดของการพัฒนา การพัฒนาควรมีเป้าหมายในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานซึ่งจะก่อให้เกิดสันติภาพ และศานติสุข

นายกรัฐมนตรีและสังคมไทยได้มาถึงจุดวิกฤตที่สุดในชีวิตแล้ว ควรใช้วิกฤตเป็นโอกาสผันตัวและผันประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน เพื่อความเจริญก้าวหน้าบนสันติวรบท

No comments:

Post a Comment